ชีวิตและสังคม
อาจารย์เกษตรเผยผลวิจัยน่าตระหนก สังคมไทยเสื่อมถอยอย่างน่าใจหาย กระทบความมั่นคงของชาติ ประชาชนมีจิตสำนึกสุดอันตราย "ประเทศไทยไม่ใช่ของคนคนเดียว"
ไทยโพสต์ l เผยผลวิจัยคนไทยมักง่าย ขาดจิตสำนึกต่อส่วนรวม เห่อฝรั่ง ชี้เป็นความเสื่อมทางวัฒนธรรม ซึ่งกระทบ ความมั่นคงของชาติ เหตุครอบครัว ศาสนา สถาบันการศึกษา สื่อฯ และผู้บริหาร บ้านเมือง บกพร่อง สลดคนส่วนใหญ่เห็นพ้อง "ประเทศชาติไม่ใช่ของคนคนเดียว" สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง "การฟื้นฟูวัฒนธรรมเพื่อความมั่นคงของชาติ" โดยในส่วน โครงการวิจัยที่ ๑ การปลูกฝังจิตสำนึกความเป็นไทย ความรักชาติและวัฒนธรรมไทยนั้น ดร.ปัญญา รุ่งเรือง ประธานสาขาวิชาดนตรีชาติพันธุ์วิทยา ภาควิชาศิลปะนิเทศ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ผู้วิจัยเปิดเผย ว่า เนื่องจากสภาพทั่วไปทั้งทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจและ สังคมไทย ส่อเค้าถึงอันตรายต่อความเป็นไทยและความมั่นคงของชาติ อาทิ การขาดความละอาย ต่อ การกระทำ ที่ผิดทำนองคลองธรรม ความย่อหย่อนทางคุณธรรมและจริยธรรม เห็นแก่ตนยิ่งกว่าส่วนรวม ถูกครอบงำ ด้วยวัตถุนิยม สภาวะวิกฤติในความวิบัติของภาษาไทย สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่า คนไทย ขาดสำนึก ในความเป็นไทย ย่อหย่อนในความรักชาติและวัฒนธรรมไทย ยากแก่การฝากอนาคต ฝากความหวัง ของชาติและ ความเป็นไทยไว้ได้อย่างสนิทใจ ดังนั้นจึงเป็นการสมควรที่จะต้อง มีการศึกษา วิจัยว่า ปัญหาของการ ขาดสำนึก ในความเป็นไทย รักชาติ และวัฒนธรรมไทย เกิดจากสาเหตุอะไร และ มีแนวทางแก้ไขอย่างไร
ดร.ปัญญากล่าวว่า งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยต่อเนื่องระยะ ๓ ปี ตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ ซึ่งได้ผลสรุปว่า ความเสื่อม ทางวัฒนธรรม ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ เป็นผลมาจากความย่อหย่อนทางคุณธรรม การขาดวินัย ในตนเอง ขาดสำนึกต่อส่วนรวม และนิสัยมักง่ายของประชากร ซึ่งเกิดจากความบกพร่อง ในกระบวนการ ขัดเกลาทางสังคม มีที่มาจากความบกพร่องขององค์ประกอบหลัก ๕ ส่วน คือ ๑. ความบกพร่อง ในการ เลี้ยงดู และอบรมเด็กของสถาบันครอบครัว ๒. ความบกพร่องในการดำเนินการ และปฏิบัติการ อบรม สั่งสอนประชาชน ของสถาบันศาสนา ๓.ความบกพร่องในการบริหารจัดการ และการดำเนินงาน ของ สถาบันการศึกษา (โดยมี) ๔. สื่อมวลชนเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการเสริมสร้างอุปนิสัย อันไม่พึง ปรารถนา และ ค่านิยมที่ไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ เป็นเพราะ ๕. ความบกพร่องของการจัดการบริหารบ้านเมือง ของฝ่าย การเมืองการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือผู้นำสังคมทุกระดับ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ อาจแก้ไขได้ โดยอาศัย ความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ สถาบันครอบครัว วัด โรงเรียน และสื่อมวลชน ทั้งนี้ ผลการวิจัย ถึงข้อบ่งชี้ปัญหาทางวัฒนธรรม สาเหตุและแนวทางแก้ไขทั้ง ๑๓ ด้าน ซึ่งเมื่อลงลึก ในรายละเอียด แต่ละด้านจะ
พบจุดที่น่าสนใจมากมาย อาทิ ด้านปรัชญา แนวคิดของประชาชนทั่วไป
ผลวิจัยบ่งชี้ว่าแนวคิดของคนไทยในปัจจุบันเป็นไปในลักษณะใครดีใครได้ ไม่รู้จักพอ เห็นแก่ตัวมากขึ้น ขาดความโอบอ้อมอารีมีน้ำใจ ปัดความรับผิดชอบ คิดว่าประเทศชาติไม่ใช่ของตนแต่เพียงผู้เดียว อายที่จะ แสดงออก ซึ่งความเป็นไทย ขาดความภูมิใจในวัฒนธรรมไทย ชักจูงง่าย เห่อของนอก เช่น ตั้งชื่อทุกอย่าง เป็นฝรั่ง ซึ่งสาเหตุมาจากขาดความรู้ความเข้าใจในประวัติศาสตร์ชาติไทย และวีรบุรุษ-สตรีไทย ไม่เห็น คุณค่าและความสำคัญของศิลปวัฒนธรรมไทย คิดว่าเป็นสิ่งล้าหลัง ไม่ทันสมัย ไม่ควรใช้ สังคมมีอิสรภาพ มากเกินไป สามารถกระทำผิดได้ง่าย เพราะกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ถือกฎหมายกระทำผิดเสียเอง วิกฤติ ด้านศาสนา ข้อบ่งชี้คือ ผู้คนขาดสำนึกในความดี ไม่อายที่จะทำความผิด ความชั่ว ไม่ค่อยทำบุญตักบาตร ไม่ไปวัด ความเลื่อมใสในศาสนาลดลง ซึ่งสาเหตุแห่งวิกฤติเกิดจากพระสงฆ์ไม่ปฏิบัติตนให้สมควรกับการ เคารพ ไม่เป็นตัวอย่างที่ดี ผู้คนขาดการอบรมสั่งสอนทางศาสนาทั้งในครอบครัว สถานศึกษา ไม่เชื่อเรื่อง กฎแห่งกรรม มีสื่อที่ยั่วยุสงฆ์ให้ผิดวินัย เข้าถึงได้ง่ายและยากที่จะควบคุม เช่น วีดิทัศน์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ดร.ปัญญาระบุว่า แนวทางแก้ไขที่เป็นผลของการวิจัยในครั้งนี้ จำเป็นจะต้องนำมาตีความ ขยายความ กำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจ เพื่อนำไปใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป จึงจะสามารถแก้ไข ข้อบกพร่องทั้งหลายได้
* จากเอ็กซ์ไซต์ไทยโพสต์ วันที่ ๒-๓ พ.ค.๒๕๔๘
http://www.asoke.info/09Communication/Dharmapublicize/Dokya/D119/059.html
วันนี้มาดูญี่ปุ่นวิจารณ์ไทยกันบ้าง อ่านแล้วแสบทั้งไส้และทั้งทรวงเลย....เห็นทีคนไทยต้องกลับมาพิจารณาตนเองครั้งใหญ่แล้วครับ นายเซ็ทซึโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นประจำกรุงเทพ (Japan External TradeOrganization,Bangkok : JETRO Bangkok) ระบุว่า ไทยอาจไม่เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุน เหมือนที่ผ่านมาในสายตาของนักลงทุนญี่ปุ่น โดยได้แสดงทรรศนะถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อ คือ
1 . คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมากโดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม คือ เป็นประเภท มือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็นธุรกิจการเมืองธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติ ล้าหลังไปเรื่อยๆ
2. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่าง ๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง จึงตามหลังชาติอื่น คนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก เพื่อโอกาสที่ดีกว่า
3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงาน แบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนมีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน
4. ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้า หรือทำด้วยความเกรงใจต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับ สัญญาหรือข้อตกลงอย่างเคร่งครัดเพราะหมายถึง ความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อย ๆ
5. การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม
6. การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการ ไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูกปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจ หรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน
7. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี้ยงเป็นศรีธนญชัย ยกย่องคนมีอำนาจ มีเงินโดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูก แล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่าผู้ก่อการร้าย ดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว
8. เอ็นจีโอค้านลูกเดียว เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับ ผลประโยชน์ บ่อยครั้งที่ต้องเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริง ๆ ไม่ได้พูดกัน
9. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือ ในเวทีการค้าระดับโลกยังขาดทักษะและทีมเวิร์คที่ดีทำให้สู้ประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้
10. เลี้ยงลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะการเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูก ช่วยตัวเอง ไม่กระตือรือร้น ในการช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเองและไม่สอนให้สำนึกผิดชอบต่อสังคม
แรงมาก และยอมรับทุกข้อคำถามคือ..แล้วเราจะ เริ่มต้นแก้ไขกันอย่างไรดี เป็นหน้าที่คนไทยทุกคน
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/BusinessLinkCheumChong/photos/a.533395883389239.1073741828.533390440056450/761850380543787/?type=3&theater
ทุกครั้งที่เสร็จจากการอบรมที่สมาคมจะมีการสำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าอบรม ซึ่งส่วนใหญ่จะให้ความเห็นว่าผมสอนได้ดีถึงดีมาก แต่จะมีคนบางคนที่เขียนตำหนิว่าสอนเร็วไปบ้าง ช้าไปบ้างในการสอนครั้งเดียวกัน เพราะยากจะสอนในห้องใหญ่ๆให้เหมาะกับทุกคน คนที่เก่งแล้วก็บอกว่าสอนช้าไป คนที่ยังไม่เก่งก็บอกว่าสอนเร็วไป แต่ที่แย่ที่สุดคือการตำหนิหรือติมาว่า ที่สอนมานั้นไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรแล้วให้เกรดการสอนในระดับต่ำเพื่อแสดงถึงความไม่พอใจ
ในเรื่องการติหรือตำหนินี้ หลวงพ่อสุชิน ปริปุณโณ ได้เมตตาสอนว่า ขอให้ดูใบไม้บนต้นไม้ให้ดีซิว่า บางใบมันเกิดมาแบบสมบูรณ์ บางใบเกิดมาแบบห่อเหี่ยว คนเราก็เช่นเดียวกัน บางคนมีนิสัยชอบติมาตั้งแต่เกิด ต่อให้เราทำดีมากเพียงใด ยังไงๆเขาก็หาเรื่องติได้อยู่นั่นเอง
นอกจากการถูกตำหนิในการอบรมแล้ว เนื่องจากผมสร้างฟอรัมและเว็บให้ความรู้ Excel ครั้งหนึ่งมีคนเข้ามาตำหนิว่า ทำไมต้องเขียนบทความแล้วติดชื่อ Excel Expert Training ไว้ในเนื้อหาด้วย ผมอยากจะโฆษณาหรืออย่างไร ส่วนการตอบคำถามในฟอรัมเคยถูกติว่า ที่ไม่ตอบเนี่ยแสดงว่าไม่รู้ใช่ไหม ทำไมไม่ตอบให้เร็วๆ บางคนเก่ง Excel มากๆเข้ามาช่วยตอบคำถามในฟอรัมแต่พอสิ่งที่ตอบไปนั้นไม่ถูกต้องก็กลับไม่ยอมฟังคำแนะนำแล้วเถียงคอเป็นเอ็นคงเพราะไม่ยอมเสียหน้าเมื่อตัวเองถูกตำหนิ ซึ่งทำให้ผมเคยคิดจะปิดเว็บปิดฟอรัมไปหลายครั้ง ดีที่มีอีเมล์ส่งเข้ามาให้กำลังใจจึงยังคงสร้างเว็บแล้วเปิดฟอรัมอยู่ตามเดิม ทุกวันนี้ถ้าใครติเข้ามาจะได้คำตอบกลับไปว่า ทุกอย่างที่ผมให้ไว้ในเว็บและฟอรัมนั้นฟรีทั้งหมด หากคุณไม่พอใจหรืออยากได้อะไรๆที่ถูกใจก็เชิญไปใช้เว็บอื่นก็แล้วกัน
สาเหตุที่ต้องใส่คำว่า Excel Expert Training ไว้ในบทความก็เพื่อทำให้ลอกไปขายต่อยากหน่อย เพราะคนที่ขโมยบทความไปต้องคอยตัดต่อข้อความที่ผูกไว้กับคำว่า Excel Expert Training เสียใหม่ แต่แล้วก็ยังพบว่ามีคนเอาบทความ Excel ของผมลอกไปพิมพ์หนังสือขายถึง 2 เล่ม เล่มหนึ่งถูกใช้เป็นเครดิตผลักตัวเองให้ได้รับรางวัลจากต่างประเทศเสียด้วย พอได้รางวัลก็อวดตัวว่าเหนือกว่าคนอื่นเขา ต่อมาภายหลังเขาก็ถูกริบรางวัลนั้นเมื่อทางต่างประเทศทราบความจริงเรื่องลอกบทความ
เมื่อก่อนผมยังช่วยตอบปัญหาในฟอรัมของเว็บพันทิปด้วย แต่ต้องเลิกช่วยตอบเพราะเจอคนช่างติที่คอยติหรือจับผิดคำตอบของผมอยู่เสมอ ซึ่งในขณะเดียวกันเขาก็จะชมเชยคำตอบของคนๆหนึ่งตลอดเวลาว่าเก่งเป็นอาจารย์ เก่งขั้นเทพ หรือให้คำตอบได้สุดยอดเหนือกว่าคนอื่น ซึ่งต่อมาก็พบว่าคนช่างติกับคนที่เขาชมนั้นมี ip address เดียวกัน เขาใช้นามแฝง 2 ชื่อ ชื่อหนึ่งเอาไว้ดันตัวเขาเองให้เด่นดังขึ้นมาจนกลายเป็นแนวหน้า แล้วในขณะเดียวกันก็เอาแต่ติเพื่อสร้างความกดดันคนอื่นให้ออกไป ส่วนนามแฝงอีกชื่อหนึ่งทำตัวเป็นคนดีให้ความรู้ เป็นคนสุภาพแสนดีที่ไม่เคยต่อว่าหรือตำหนิใคร
น่าเสียดายที่ไม่มีใครเอาเรื่องนี้มาจับผิดลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างทำตาม นี่เป็นข้อควรระวังไว้ให้ดีว่าคนที่ขึ้นชื่อว่าเก่ง Excel แบบสุดๆอาจทำตัวแบบหน้าไหว้หลังหลอก และไม่จำเป็นว่าคนเก่งจะต้องเป็นคนดีเสมอไป
สังคมโลกยุคใหม่ใน facebook สามารถกดไลค์หรือให้ความคิดเห็นได้อย่างอิสระ ยุคนี้จึงกลายเป็นยุคที่คนชอบติได้ติอย่างสมใจอยาก แถมกระตุ้นให้คนที่ไม่เคยติใครกลับมาเป็นคนชอบติได้ง่ายมาก ยิ่งถ้าใครมีคนติดตามดู facebook จำนวนมาก ยิ่งง่ายที่จะกระจายคำติของตัวเองให้สังคมรับทราบ ถ้าติได้ดีก็แล้วไป แต่ถ้าติโดยไม่มีเหตุผลหรือใช้คำแรงๆติไปก็ย่อมกลับกลายเป็นหลักฐานย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของแต่ละคนต้องเคยพบเจอคนที่ชอบโกหกมาบ้างไม่มากก็น้อย อย่างตัวผมเองตอนที่กำลังตกแต่งบ้านอยู่ ช่างรับเหมารับปากว่ารับรองว่าจะมาตกแต่งบ้านผมให้เสร็จก่อนสงกรานต์ รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแถมสาบานด้วยว่าถ้าผิดคำพูดเขาก็ไม่ใช่คนแล้ว ซึ่งในที่สุดเขาก็ไม่ใช่คนเพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่มาให้เห็นหน้าทิ้งงานไปเฉยๆ ซึ่งคงเป็นเพราะตัวเขาเองถูกช่างเฟอร์นิเจอร์หลอกต่อกันมาอีกที แต่ที่ทำให้ต้องเลิกคบกันไปเลยยังไม่ใช่แค่นี้ เพราะตอนที่ตกแต่งล่าช้าไปเป็นปีนั่นแหละที่เขารับปากว่าจะรับผิดชอบค่าตกแต่งที่แล้วมาทั้งหมดเอง ต่อมาเมื่อโผล่มาเจอหน้ากันกลับมาทวงเงินอีก เห็นทีเขาคงจะลืมคำพูดของตัวเองหรือไม่ก็โกหกเพื่อเอาตัวรอดมาหลายครั้งจนจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรไว้บ้าง
คนที่โกหกต่างจากคนที่พูดแต่ความจริงตรงที่ตัวเองต้องคอยจำสิ่งที่พูดโกหกไป ถ้าโกหกบ่อยมากก็ยากจะจำคำพูดของตน
ในวงการปิงปอง ผู้จัดการสนามกีฬาเคยพูดสัญญาว่า แม้ห้องปิงปองจะถูกจองให้ทีมโน้นทีมนี้มาเล่น แต่นักปิงปองที่เป็นสมาชิกซึ่งมาใช้บริการก็ยังต้องมีโต๊ะปิงปองแบ่งไว้ให้เล่นได้อย่างน้อย 2 - 3 ตัว แต่พอมีปัญหาแย่งโต๊ะกันขึ้นมาผู้จัดการก็กลับคำพูดว่า ไม่ให้โต๊ะเล่นแล้ว ขอให้สมาชิกรอมาเล่นตอนเย็นๆหลังจากที่ห้องว่างก็แล้วกัน ส่วนทีมนักปิงปองที่แจ้งขอใช้สถานที่ในช่วงเวลานั้นเวลานี้ก็ใช้เวลาฝึกซ้อมเกินกว่าที่แจ้งมา สมาชิกที่มาถึงก็ไม่อยากเข้าไปขอโต๊ะตามนิสัยคนไทยที่ไม่ชอบหาเรื่องแม้จะถูกละเมิดสิทธิ์ของตนก็ตาม
การยอมทำตามคนส่วนใหญ่แต่ต้องละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น ไม่ได้ต่างจากการยอมให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย คนจะทำตามคนส่วนใหญ่กันไปทั้งๆที่ทำผิดกฎกติกา บ้านเมืองย่อมขาดระเบียบ
กฎระเบียบและกฎหมายต้องมีความชัดเจนและเมื่อบังคับใช้ต้องมีบทลงโทษที่ต้องทำจริง ป้ายประกาศต้องเขียนอธิบายให้ละเอียด อย่าปล่อยให้ประชาชนต้องตีความหมายกันเอง ต้องลงชื่อผู้ประกาศ วันที่ประกาศ ระยะเวลาที่ต้องการให้มีผลจากวันเริ่มต้นวันใดถึงวันใด และหากมีข้อสงสัยให้ติดต่อสอบถามได้จากใคร ป้ายประกาศต้องติดล่วงหน้าให้ทุกคนได้เตรียมตัว ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาติดประกาศว่าขอห้ามใช้สถานที่ในวันนั้นเอง
ผลกรรมของการโกหก
พุทธวจนะที่ว่า..... "ผู้กล่าวคำเท็จอยู่ จะไม่ทำความผิดอื่น เป็นไม่มี"
โทษของการละเมิดศีลข้อที่ ๔ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มุสาวาท (พูดปดหลอกลวง) ที่บุคคลทำจนคุ้น ฯลฯ ย่อมเป็นเหตุให้เกิด ในนรก ฯลฯ วิบากคือเศษกรรม ของการพูดปดหลอกลวง อย่างเบาที่สุด ย่อมชักให้ผู้ทำ ซึ่งเป็นมนุษย์กลายเป็นคนถูกกล่าวตู่ด้วยความเท็จ
จากคำสอนของพระพุทธองค์ทำให้เห็นได้ว่า กรรมหรือผลกรรมของการโกหกนั้นพอสรุปคร่าวๆไ้ด้ดังนี้
ผลที่เกิดขึ้นเป็นการภายนอก เห็นง่าย คือคนเขาจะไม่เชื่อถือ พูดอะไรไปแม้จริง ก็มีกระแสบางอย่างทำให้เขารู้สึกมัวๆ ขัดๆ เพราะคนโกหกประจำจะดูกะล่อนๆ สัมผัสรู้สึกได้
ผลที่เกิดขึ้นเป็นการภายใน เห็นยาก แต่รู้ได้ถ้าเลิกเข้าข้างตัวเอง คือใจจะปรุงแต่ง ฟุ้งไปในอุปาทานนานาชนิดอยู่ตลอด หลอกคนอื่นบ่อยๆ ในที่สุดก็หลอกกระทั่งตัวเอง ยิ่งหม่นมืดยิ่งมองไม่เห็นว่าหลอก นึกว่าดี นึกว่าไม่เป็นไร การโกหกเป็นเรื่องที่ไม่ดีอยู่เเล้ว เเต่ก็ขึ้นอยู่ที่บางครั้ง บางคนอาจโกหกเพราะจําใจ เเต่ที่เเน่ๆ พวกโกหกทําให้คนอื่นดูไม่ดีในสายตาคนอื่น ทั้งๆที่เเท้ที่จริง คนๆนั้นเป็นคนดี อันนี้บาปหนา
ที่มาจาก http://www.thammachuk.com
การพูดโกหก จะต้องประกอบด้วยหลัก ๓ ประการ
(หลักการวินิจฉัย การขาดของศีลข้อ ๔ว่า ด้วยมุสาวาทา เวรมณี) คือ
๑. ทำเรื่องไม่จริง-โดยไม่ละอาย
๒. มีความคิดที่จะหลอกลวงตนเอง-ผู้อื่น
๓. พยายามจะพูดออกไป-ให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในเรื่องนั้น
การพูดเรื่องมุสา ท่านว่ามีโทษมากมายมหันต์ เพราะเหตุ ๓ ประการ คือ
๑. ผลประโยชน์ที่ถูกทำลายมีมาก
๒. ผู้เสียผลประโยชน์เป็นผู้มีคุณมาก
๓. กิเลสของผู้พูดหลอกลวงตนเอง-ผู้อื่น มีกำลังแรงกล้าอย่างมาก
กรรมสนองจากการผิด ศีลมุสาวาทา
ตกนรกสามภูมิ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรตอสุรกาย
มักถูกติฉิน นินทากล่าวร้าย ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกกีดกัน ถูกขับไล่ ถูกเขาหลอกลวง ง่ายต่อการถูกฉ้อโกง กล่าวโทษวาจาไม่มีคนเชื่อถือ คำพูดไม่มีคนยอมรับ คำพูดกำกวม ปากแหว่งโดยกำเนิด ไม่มีลิ้น พูดไม่ชัด ไม่ได้มรรคผล จะบำเพ็ญอย่างไรก็ไม่สำเร็จมรรคผล กลิ่นปากเหม็น รักษาไม่หาย กลิ่นตัวแรง หากกินเจกลิ่นจะลดลงบ้าง ยิ่งกินเนื้อสัตว์กลิ่นยิ่งรุนแรงหนักขึ้น
ผลจากการถือศีลมุสาวาทา
ปากสะอาดหมดจด กลิ่นปากหอมเหมือนกลิ่นดอกบัว ไม่ต้องฉีดน้ำหอม กลิ่นหอมเองโดยธรรมชาติ พระพุทธมิได้กล่าวลอยๆ แลบลิ้นปิดหน้าได้ทั้งหมด ศพถูกเผาแล้วฟันทุกซี่อยู่ในสภาพปกติ เป็นที่เคารพศรัทธาของคนทั่วไป ใจเกิด ปีติ ผู้คนยินดี ไม่กล่าวคำเท็จ ยินดีที่มีชีวิตอยู่ในท่ามกลางความจริง ชาติหน้ายินดีที่ได้ยินเสียงที่ดี ไม่มีเสียงมารบกวนทำให้สับสน มาทำร้าย เพิ่มพูนเกียรติคุณ ไม่มีอุปสรรค ปัญญามิอาจประมาณ